ยุคก่อนอาณาจักรสุโขทัย
ศิลาจารึกของอาณาจักรขอม ได้จารึกไว้ว่าประมาณ พ.ศ. 1725 – 1729 พระเจ้าชัยวรมันที่ 7 ทรงบำเพ็ญพระราชกุศลตามความเชื่อในศาสนาพุทธ โดยสร้างสถานพยาบาลเรียกว่า “
อโรคยศาล “ ขึ้น 102 แห่งในบริเวณภาคตะวันออกเฉียงเหนือของไทยและบริเวณใกล้เคียง
และกำหนดผู้ทำหน้าที่รักษาพยาบาลไว้อย่างชัดเจน ได้แก่ หมอ , พยาบาล , เภสัช , ผู้จดสถิติ ,
ผู้ปรุงอาหารและยา รวม 92 คน
รวมทั้งมีพิธีกรรมบวงสรวง พระไภสัชยคุรุไวฑูรย์ประภา
ตามความเชื่อทางศาสนาพุทธลัทธิมหายาน ด้วยการบูชา ด้วยยาและอาหาร
ก่อนแจกจ่ายให้ผู้ป่วย ปัจจุบันมีอโรคยศาลที่ยังเหลือประสาทที่สมบูรณ์ที่สุดคือกู่บ้านเขว้าจังหวัดมหาสารคาม
สมัยสุโขทัย
มีการค้นพบหินบดยาสมัยทวาราวดี ซึ่งเป็นยุคก่อนสุโขทัย
และจากศิลาจารึกของพ่อขุนรามคำแหง ได้บันทึกไว้ว่า
ทรงสร้างสวนสมุนไพรขนาดใหญ่บนเขาหลวงหรือเขาสรรพยา
เพื่อให้ราษฎรได้เก็บสมุนไพรไปใช้รักษาโรคยามเจ็บป่วยปัจจุบันภูเขาดังกล่าวอยู่ในอำเภอคีรีมาศ
จังหวัดสุโขทัย ในยุคนี้ศาสนาพุทธลัทธิหินยานมีบทบาทอย่างมาก พระภิกษุนิยมธุดงค์
ศูนย์รวมของวัฒนธรรมและการศึกษาอยู่ที่วัด
เชื่อว่าพระภิกษุยุคนี้มีความรู้ในการรักษาตนเองด้วยสมุนไพรและช่วยเหลือแนะนำประชาชนด้วย
สมัยอยุธยา
การแพทย์สมัยอยุธยามีลักษณะผสมผสาน
ปรับประยุกต์องค์ความรู้การแพทย์พื้นบ้านทั่วราชอาณาจักร
ผสมกับความเชื่อตามแนวปรัชญาแนวพุทธ รวมทั้งความเชื่อ
ทางไสยศาสตร์และโหราศาสตร์เพื่อให้สอดคล้องกับสภาพของชุมชน
ในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช พบบันทึกว่ามีระบบการจัดหายาที่ชัดเจน
สำหรับประชาชนมีแหล่งจำหน่ายยาสมุนไพรหลายแห่ง ทั้งในและนอกกำแพงเมือง
มีการรวบรวมตำรับยาต่าง ๆ ขึ้นเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์การแพทย์แผนไทย เรียกว่า
ตำราพระโอสถพระนารายณ์ การแพทย์แผนไทยสมัยนี้รุ่งเรืองมาก
โดยเฉพาะอย่างยิ่งการนวดไทย การแพทย์ตะวันตกเริ่มเข้ามามีบทบาท
โดยมิชชันนารีชาวฝรั่งเศสได้จัดตั้งโรงพยาบาลรักษาโรคแต่ก็ขาดความนิยมและล้มเลิกไป
การแพทย์สมัยรัชกาลที่ 1
พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ได้ทรงปฏิสงขรณ์วัดโพธาราม
หรือวัดโพธิ์ขึ้นเป็นอารามหลวง ให้ชื่อว่า วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม
และโปรดเกล้าฯให้รวบรวมและจารึกตำรายา ท่าฤๅษีดัดตน และตำราการนวดไทยไว้ตามศาลาราย
มีการจัดตั้งกรมหมอโรงพระโอสถคล้ายกับในสมัยอยุธยา ผู้ที่รับราชการเรียกว่าหมอหลวง
ส่วนหมอที่รักษาประชาชนทั่วไป เรียกว่าหมอราษฎรหรือหมอเชลยศักดิ์
การแพทย์สมัยรัชกาลที่ 2
พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ได้โปรดเกล้าฯ
ให้เหล่าผู้ชำนาญลักษณะโรคและสรรพคุณยา รวมทั้งผู้ที่มีตำรายาดี ๆ
นำเข้ามาทูลเกล้าฯถวาย และให้กรมหมอหลวงคัดเลือกและจดเป็นตำราหลวงสำหรับโรงพระโอสถ
พ.ศ.2395 โปรดเกล้าฯ ให้ตรากฎหมายชื่อว่า
กฎหมายพนักงานพระโอสถถวาย
การแพทย์สมัยรัชกาลที่ 3
พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงปฏิสังขรณ์วัดพระเชตุพนฯ
อีกครั้งและโปรดเกล้าฯ
ให้จารึกตำรายาบอกสมุฏฐานของโรคและวิธีรักษาไว้บนแผ่นหินอ่อน
ประดับตามผนังโบสถ์และศาลาราย และทรงให้ปลูกต้นสมุนไพร
ที่หายากไว้ในวัดเป็นจำนวนมากนับเป็นการจัดการศึกษาให้แก่ประชาชนอีกรูปแบบหนึ่ง
ซึ่งมิได้จำกัดอยู่เพียงในวงศ์ตระกูลเหมือนแต่ก่อน
นอกจากนี้ยังทรงปฏิสังขรณ์วัดราชโอรสารามและได้จารึกตำราไว้ในแผ่นศิลาตามเสาระเบียงพระวิหาร
รัชสมัยนี้มีการนำการแพทย์แบบตะวันตกเข้ามาเผยแพร่ โดยคณะมิชชันารีชาวอเมริกัน
โดยการนำของนายแพทย์แดนบีช บรัดเลย์ ซึ่งคนไทยเรียกว่า หมอปรัดเลย์
ซึ่งนำวิธีการแพทย์แบบตะวันตกเข้ามาใช้ เช่น การปลูกฝีป้องกันไข้ทรพิษ
การใช้ยาเม็ดควินินรักษาโรคไข้จับสั่น เป็นต้น
นับเป็นวิวัฒนาการการแพทย์แผนไทยและแผนตะวันตก
แผ่นศิลาที่จารึกตำรายา ณ วัดราชโอรสาราม
การแพทย์สมัยรัชกาลที่ 4
พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้นำการแพทย์แผนตะวันตกมาใช้มากขึ้น
เช่น การสูติกรรมสมัยใหม่ แต่ไม่สามารถเปลี่ยนความนิยมของชาวไทยได้
เพราะการแพทย์แผนไทยเป็นวิถีชีวิตของคนไทยเป็นจารีตประเพณีและวัฒนธรรมที่สืบเนื่องกันมา
การแพทย์แผนไทยสมัยรัชกาลที่ 5
รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว มีการจัดตั้งศิริราชพยาบาลขึ้นในปี
พ.ศ. 2431 ซึ่งมีการเรียนการสอนและให้การรักษาทั้งการแพทย์
แผนไทยและแผนตะวันตกร่วมกัน มีการพิมพ์ตำราแพทย์ขึ้นเป็นครั้งแรกในปี 2438 ชื่อ ตำราแพทย์ศาสตร์สงเคราะห์ เล่ม 1 – 4 ซึ่งได้รับยกย่องว่าเป็นตำราแห่งชาติฉบับแรก
ต่อมาพระยาพิษณุประสาทเวช ( หมอคง ) เห็นว่าตำรายาเหล่านี้ยากแก่ผู้ศึกษา
จึงพิมพ์ตำราขึ้นใหม่ได้แก่ ตำราแพทย์ศาสตร์สงเคราะห์ฉบับหลวง 2 เล่มและตำราแพทย์ศาสตร์สังเขป 3 เล่มซึ่งกระทรวงสาธารณสุขยังคงใช้มาจนทุกวันนี้
พระยาพิษณุประสาทเวช ( หมอคง )
การแพทย์แผนไทยสมัยรัชกาลที่ 6
รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว
มีการสั่งยกเลิกวิชาการแพทย์แผนไทย
และมีประกาศให้ใช้พระราชบัญญัติการแพทย์เพื่อควบคุมการประกอบโรคศิลปะ
เพื่อป้องกันอันตรายอันเนื่องมาจากการประกอบการของผู้ที่ไม่มีความรู้และมิได้ฝึกหัด
ด้วยความไม่พร้อมในด้านการเรียนการสอน การสอบ และการประชาสัมพันธ์
ทำให้หมอพื้นบ้านจำนวนมากกลัวถูกจับจึงเลิกประกอบอาชีพนี้ บ้างก็เผาตำราทิ้ง
จะมีหมอแผนโบราณเพียงจำนวนหนึ่งเท่านั้นที่สามารถปฏิบัติได้ตามพระราชบัญญัติดังกล่าวนับเป็นทั้งข้อดีและข้อเสียที่ควรคำนึงถึง
การแพทย์แผนไทยสมัยรัชกาลที่ 7
กฎหมายเสนาบดี
ได้แบ่งการประกอบโรคศิลปะออกเป็นแผนปัจจุบันและแผนโบราณ
มีการศึกษาวิจัยสมุนไพรขึ้นระหว่างปี พ.ศ. 2485 – 2486 ขณะที่สงครามโลกครั้งที่ 2 ลุกลามเข้ามาในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
ทำให้เกิดภาวะขาดแคลนยา ศาสตราจารย์ นายแพทย์อวย เกตุสิงห์
ได้ศึกษาวิจัยสมุนไพรที่ใช้รักษาไข้มาลาเรียที่โรงพยาบาลสัตหีบ
หลังจากสงครามโลกสงบลง ยังคงมีปัญหาขาดแคลนยาแผนปัจจุบัน
รัฐบาลจึงมีนโยบายให้องค์การเภสัชกรรม กระทรวงสาธารณสุข
ผลิตยาสมุนไพรเป็นยารักษาโรค
องค์กรเอกชนด้านการแพทย์แผนไทย
ปี พ.ศ. 2500 มีการก่อตั้งสมาคมโรงเรียนแพทย์แผนโบราณขึ้นที่วัดโพธิ์
กรุงเทพฯ นับแต่นั้นมาสมาคมต่าง ๆ ก็ได้แตกสาขาออกไป
ปัจจุบันมีโรงเรียนแพทย์แผนโบราณที่มีการดำเนินงานอย่างต่อเนื่องอยู่เป็นจำนวนมากทั้งในกรุงเทพฯและต่างจังหวัด
ปี พ.ศ. 2526 ศาสตราจารย์ นายแพทย์อวย เกตุสิงห์ แพทย์แผนปัจจุบันผู้ซึ่งเข้าใจเกี่ยวกับสถานการณ์ของการแพทย์แผนไทยเป็นอย่างดี ได้ก่อตั้งมูลนิธิฟื้นฟูการแพทย์ไทยเดิมขึ้น ทำให้เกิดอายุรเวทวิทยาลัย ( ชีวกโกมารภัจจ์ ) ผลิตแพทย์แผนโบราณแบบประยุกต์ หลักสูตร 3 ปี ในโอกาสต่อมา นับได้ว่า ศาสตราจารย์ นายแพทย์ อวย เกตุสิงห์ เป็นบิดาของการแพทย์แผนไทยแบบประยุกต์ ที่เปิดโอกาสให้แพทย์แผนไทยฟื้นตัวอีกครั้ง
ที่มา : http://benkyoshin.blogspot.com/2008/01/blog-post.html
No comments:
Post a Comment